“ถ้านักฟังเพลงมือใหม่ต้องการซื้อผลงานเพลงคลาสสิกอินเดียเพียงหนึ่งชุด
ก็ต้อง Call Of The Valley นี้เลย”
เว็บไซต์ Allmusic
ไกด์แนะนำดนตรีออนไลน์ที่ทรงอิทธิพลที่สุด ฟันธงไว้เลย สำหรับอัลบั้มดนตรีอินเดียยอดนิยมสูงสุดในระดับนานาชาติ
เป็นผลงานชิ้นสำคัญในการแนะนำให้คนต่างชาติได้รู้จักดนตรีอินเดีย ความสวยงามแบบเรียบง่ายของ
Call Of The Valley
ทำให้เสียงเพลงทะลุทะลวงแทรกซึมเข้าไปถึงจิตวิญญาณของคนฟัง ให้ซาบซ่านไม่รู้ลืม นับตั้งแต่ได้ยินผ่านหูเป็นครั้งแรก
โดยไม่ต้องมีพื้นฐานการฟังดนตรีคลาสสิกอินเดียมาก่อน
เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่จะตราตรึงอยู่ในใจไม่รู้เลือน และยังเป็นตัวดึงดูดเยาวชนอินเดียนับแสนคน
ให้หันมาสนใจดนตรีคลาสสิกของเขาเองอีกด้วย
Call
Of The Valley ได้รับการเชิดชูคุณค่าอยู่ในลำดับต้นๆ
ของอัลบั้มเวิลด์มิวสิก นอกจากจะเป็นอัลบั้มชุดโปรดของนักดนตรีร็อกดังหลายคน
อย่างเช่น Bob Dylan, Paul McCartney, George
Harrison และ David Crosby แล้ว อัลบั้มชุดนี้ยังได้ถูกบรรจุอยู่ในรายการของอัลบั้มเพลง
1001 ที่ต้องฟังก่อนตายด้วย (1001 Albums You Must Hear Before You Die)
Call
Of The Valley เป็นอัลบั้มเพลงฮินดูสตานีคลาสสิก หรือดนตรีคลาสสิกอินเดียเหนือ
ผลงานร่วมของสามศิลปินหนุ่มไฟแรง ผู้มีความเป็นเลิศในเชิงดนตรี
พวกเขาทั้งสามยังเป็นผู้บุกเบิกนำเอาเครื่องดนตรีนอกสายตาสามชนิดที่ไม่ได้อยู่ในสารบบ
มาเป็นสีสันเพิ่มความหลากหลาย ให้เป็นที่ยอมรับในวงการดนตรีคลาสสิกอินเดีย เป็นอัลบั้มแจ้งเกิดของสามสิงห์หนุ่ม
และเครื่องดนตรีคู่กายของพวกเขา โดยชีฟกุมาร เชอร์มา (Shivkumar Sharma) เล่นสันตูร์ (Santoor)
เครื่องดนตรีประเภทขิมแห่งแคว้นแคชเมียร์ หะริประสาด ชอรเซีย (Hariprasad
Chaurasia) เป่าบานซูรี (Bansuri) หรือขลุ่ยไม้ไผ่
และบริจ ภูชาน คาบรา (Brij Bhushan Kabra) เล่นกีตาร์แบบฮาวายหรือสไลด์
โดยมีมานิกราว พอพัทคาร (Manikrao Popatkar)
เล่นกลองทาบล้าประกอบ
ชีฟกุมาร เชอร์มาเป็นเจ้าของแนวคิดซิมโฟนีแห่งดนตรีคลาสสิกอินเดียนี้
พวกเขาร่วมกันใช้เส้นเสียงดนตรี
เล่าเรื่องราวชีวิตในหนึ่งวันของเด็กเลี้ยงแกะในแคชเมียร์ นำพาผู้ฟังให้จินตนาการไปตามลีลาจังหวะ
ทำนอง ที่ผสมผสาน สร้างบรรยากาศตั้งแต่เช้าตรู่จรดค่ำ ให้สัมผัสในจิตวิญญาณถึงทัศนียภาพแห่งหุบเขาอันสวยงาม
เขียวขจีตระการตาด้วยทิวสนริมทะเลสาปอันเรียบสงบ ณ เชิงเขาหิมาลัยอันมหึมาที่ยอดปกคลุมขาวโพลนด้วยหิมะ
อัลบั้มชุดนี้ออกวางตลาดในปี 1967 ภายใต้สังกัดค่าย EMI ได้กลายเป็นอัลบั้มดนตรีคลาสสิกอินเดียที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล
และค่ายเพลงยังคงผลิตออกวางขายอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ในเวอร์ชั่นซีดีได้แถมเพลงโบนัสเพิ่มมาอีก
3 เพลง ที่เน้นนำเสนอโชว์เดี่ยวของแต่ละคน เล่นคู่กับทาบล้า
หะริประสาด ชอรเซีย นักเป่าบานซูรีหรือขลุ่ยไม้ไผ่ เกิดที่เมืองอัลลาฮาบาด
หรือเมืองโกสัมพีในสมัยพุทธกาล รัฐอุตตรประเทศ (1 กรกฎาคม 1938) กำพร้าแม่ตั้งแต่อายุ
5 ขวบ พ่อเป็นนักมวยปล้ำ ผู้ต้องการให้ลูกชายเจริญรอยตาม แม้ใจจะรักในเสียงเพลงมากกว่า
แต่เขาไม่กล้าขัดใจพ่อจอมโหด ต้องแอบเรียนร้องเพลงจากเพื่อนบ้าน และฝึกซ้อมที่บ้านเพื่อนตอน
9 ขวบ แต่การเรียนวิชามวยปล้ำด้วยความจำใจ ได้กลายเป็นทุกขลาภที่เป็นคุณในอนาคต
“ผมไม่เก่งในเชิงมวยปล้ำเลย ผมเพียงต้องการเอาใจพ่อแค่นั้นเอง แต่บางทีความแข็งแกร่งและความอึดที่ผมได้จากตรงนั้น
ช่วยให้ผมเป่าบานซูริได้จนถึงทุกวันนี้”
ชีวิตของชอรเซียเปลี่ยนไปในบัดดล
หลังจากได้ยินเสียงขลุ่ยครั้งแรกทางวิทยุตอนอายุ 15 ปี เขาไปเคาะประตูบ้านเจ้าของเสียงขลุ่ย
เรียนเป่าขลุ่ยกับท่าน Pandit Bholanath
Prasanna นานถึง 8 ปี เขาเริ่มเป่าขลุ่ยและแต่งเพลงให้กับ All
India Radio รัฐโอริสสาในปี 1957 ต่อมาไปรับงานนอกรายได้ดี เล่นประกอบเต้นโชว์
แล้วขยับเข้าสตูดิโอเล่นเพลงประกอบหนัง รับงานมากจนต้องลาออกจากสถานีวิทยุ พอปั่นเพลงบอลลีวู้ดจนจำเจซ้ำซาก
พลังสร้างสรรค์เริ่มหยุดนิ่ง จึงไปกราบขอฝากตัวเป็นศิษย์ถึง 3 ครั้งกับอันนะปูร์นา
เทวี (Annapurna Devi) ภรรยาคนแรกของราวี
ชังการ์ ผู้ปราดเปรื่องในดนตรีอินเดียชนิดหาคนเทียบได้ยาก และยังเป็นที่ร่ำลือกันถึงกิตติศัพท์แห่งความโหด
เฮี้ยบ เนี้ยบ ดุ จนท่านเทวีใจอ่อนรับสอน หลังเขาเป่าขลุ่ยให้ฟัง โดยมีข้อแม้ว่า
เขาจะต้องเริ่มใหม่หมดเลย และศิษย์ใหม่ก็แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า โดยเปลี่ยนจากปกติเป่าแบบถนัดขวา
มาหัดใหม่แบบคนถนัดซ้ายตั้งแต่นั้นมา
ชอรเซียได้รับการเจียระไนจากแม่คนที่สอง
จนเป็นเพชรเม็ดงามส่องประกายเจิดจ้าในวงการดนตรีอินเดีย และเวทีนานาชาติในเวลาต่อมา
ได้รับคำสดุดีจากศิลปินใหญ่สายคลาสสิก อาทิ นักไวโอลิน Yehudi Menuhin และนักเป่าฟลูต Jean-Pierre
Rampal ชอรเซียนับเป็นนักดนตรีใจเปิดกว้างที่หายากคนหนึ่ง นอกเหนือจากสายคลาสสิก
และผลงานโดดเด่นในด้านเพลงประกอบหนังแล้ว เขายังได้ร่วมงานกับนักดนตรีแจ๊สดัง
อย่างนักกีตาร์ John McLaughlin และนักแซ็กโซโฟน Jan
Garbarek อีกทั้งยังไปเล่นคอนเสิร์ตร่วมกับ Jethro Tull นักเป่าฟลูตร็อกได้อย่างไม่เคอะเขิน
ปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่งเป็น Artistic
Director of the World Music Department ที่ Rotterdam Music
Conservatory ประเทศเนเธอร์แลนด์ และยังได้ก่อตั้งสถาบัน Vrindavan
Gurukul ที่เมืองมุมไบ เมื่อปี 2006 และเมือง Bhubhaneshwar ในปี 2010 เพื่อผลิตนักบานซูรีรุ่นใหม่
บริจ ภูชาน คาบราเป็นนักดนตรีอินเดียคนแรกที่ใช้กีตาร์เล่นดนตรีคลาสสิกอินเดีย
เขาบุกเบิกการใช้เครื่องดนตรียอดนิยมของฝรั่งมาบรรเลงเพลงแขกได้อย่างมีเสน่ห์
น่าฟัง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นต้นแบบให้คนรุ่นใหม่เดินตามรอย
จนมีนักกีตาร์โดดเด่นในวงการดนตรีคลาสสิกอินเดียหลายคน
คาบราเกิด ปี 1937 ที่เมืองจ๊อดปูร์ (Jodhpur)
หรือโยธะปุระ นครสีฟ้าแห่งรัฐราชสถาน พ่อเป็นแฟนเพลงตัวยงของดนตรีคลาสสิกอินเดีย
ส่งอิทธิพลให้เขาชอบฟังไปด้วย แต่ไม่ถึงกับอยากลงมือดีด สี ตี เป่าเอง ด้วยความชอบในช่วงนั้นยังสนุกกับการเล่นกีฬาหลายชนิด
จนมีดีกรีความเก่งเป็นถึงแชมป์ปิงปองรุ่นจูเนียร์แห่งรัฐราชสถานในปี 1952 พอจบม.ปลายก็เข้าเรียนต่อด้านธรณีวิทยาในมหาวิทยาลัย จุดหักเหจนมีผลให้เส้นทางชีวิตผกผัน เกิดขึ้นตอนคาบราแวะที่เมืองกัลกัตตา
แล้วไปได้ยินเสียงกีตาร์ฮาวาย เกิดความประทับใจในเสียงใสพลิ้วหวานของมันมากจนสลัดไม่ออก
เป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากหัดเล่นกีตาร์ฮาวายขึ้นมาทันที แล้วเขารีบไปขออนุญาตจากพ่อ
โดยรับปากอย่างหนักแน่นว่าจะเล่นเฉพาะดนตรีคลาสสิกเท่านั้น
คาบราเริ่มหัดเล่นกีตาร์ด้วยการแกะเพลงจากแผ่นเสียง ในระหว่างที่อยู่เมืองอัลลาฮาบาด
ต่อมามีโอกาสได้เรียนกับท่านอาลี อัคบาร์ ข่าน (Ali Akbar Khan) ปรมาจารย์แห่งสาโรด
ได้ดัดแปลงกีตาร์ให้เหมาะกับการเล่นดนตรีอินเดีย เริ่มเปิดตัวเล่นคอนเสิร์ต
จนมาเจอกับชีฟกุมาร เชอร์มา ซึ่งปิ๊งทางดนตรีตั้งแต่แรกพบ ได้แสดงด้วยกันเป็นประจำ
และออกอัลบั้มเล่นคู่กันในปี 1960 ต่อมาในปี 1967 ได้ชอรเซียมาร่วมเป่าขลุ่ยด้วย
จนดังกันแบบกินยาวกับอัลบั้ม Call Of The Valley คาบราออกผลงานเดี่ยวหลายอัลบั้มในช่วงทศวรรษเจ็ดสิบ
ในระยะหลังเขาจะหันไปเน้นด้านการสอนเป็นหลัก แต่ก็ไม่ทิ้งงานแสดง
คาบราได้รับการเชิดชูเกียรติมากมาย รวมทั้ง Sangeet Natak Akademi Award ซึ่งเทียบเท่าได้กับรางวัลระดับศิลปินแห่งชาติ
ในปี 2005
ชีฟกุมาร เชอร์มาผู้ยกระดับสันตูร์ เครื่องดนตรีพื้นบ้านประเภทขิมแห่งแคว้นแคชเมียร์
สู่เวทีระดับชาติและเวทีโลก เกิด 13 มกราคม 1938 ณ รัฐชัมมูและแคชเมียร์ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศอินเดีย
พ่อนักร้องสอนให้ร้องเพลงกับเล่นทาบล้าตั้งแต่ตอนอายุ 5 ขวบ ต่อมาพ่อได้ตั้งเป้าและมุ่งมั่นที่จะให้เขาเป็นนักดนตรีคนแรกที่เล่นดนตรีคลาสสิกอินเดียด้วยสันตูร์
ชีฟกุมารจึงต้องเบนเข็มมาหัดเล่นสันตูร์ตอนอายุ 13 ปี แต่การที่จะยกระดับเครื่องดนตรีพื้นบ้านให้เป็นที่ยอมรับในวงการคลาสสิก
ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด เขาจึงต้องทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ ปรับแต่ง ดัดแปลง
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเจ้าขิมตัวเก่า ให้รองรับความซับซ้อน รายละเอียดของดนตรีระดับสูงจนเป็นที่พอใจแล้ว
จึงเปิดตัวการเล่นสันตูร์อย่างเป็นทางการครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ 1955
ที่บอมเบย์ และบันทึกอัลบั้มแรกในปี 1960
ในช่วงลุ่มๆดอนๆที่ยังไม่ได้รับการยอมรับ
เชอร์มาต้องอาศัยฝีมือการเล่นทาบล้าช่วยหารายได้เสริมเลี้ยงชีพ
เคยเล่นแบ็กอัพให้กับ Surinder Kaur นักร้องดังแห่งปันจาบและราวี ชังการ์ ก่อนที่จะสร้างตำนานกับ Call
Of The Valley ในปี 1967 เชอร์มาต้องต่อสู้พิสูจน์ความสามารถเกือบ
20 ปี กว่าจะหุบปากหอยปากปูระดับกูรูทั้งหลายของดนตรีคลาสสิกอินเดียให้สงบเงียบลง ต่อมาในช่วงทศวรรษแปดสิบ
เขาจับคู่กับชอรเซีย ตั้งทีม Shiv-Hari
รับงานทำเพลงประกอบหนัง มีหลายเรื่องที่ประสบความสำเร็จมาก
เชอร์มามีบุตร 3 คน แต่เขาเลือกถ่ายทอดการเล่นสันตูร์ให้กับราหุล เชอร์มา (Rahul Sharma)
เพราะเห็นแววพรสวรรค์ในตัวลูกชายคนนี้ สองพ่อลูกร่วมกันแสดงคอนเสิร์ตตั้งแต่ปี
1996 บางคนอาจจะคุ้นเคยกับเสียงสันตูร์ของราหุลบ้างแล้ว จากอัลบั้ม Namaste ซึ่งเพิ่งออกวางตลาดไม่นานมานี้ ผลงานที่ราหุลไปประกบคู่กับเคนนี จี นักแซ็กโซโฟนซูเปอร์สตาร์
Call
Of The Valley ผลงานรวมการเฉพาะกิจอัลบั้มหนึ่งเดียวของสามสิงห์เลือดใหม่แห่งวงการดนตรีคลาสสิกอินเดีย
แม้จะประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่พวกเขาตัดสินใจแยกทางกันเดิน เพื่อสานฝันของตัวเองต่อไป
เพราะทุกคนต่างมีภาระอันใหญ่หลวงรออยู่ข้างหน้า ในการนำเสนอเครื่องดนตรีของแต่ละคนให้เป็นที่ยอมรับในวงการ
หลังจากทิ้งช่วงไปกว่า 30 ปี ชีฟกุมาร และหะริประสาด ชอรเซีย ในฐานะศิลปินใหญ่แล้ว
นวนกลับมาร่วมกันทำ Call Of The Valley ภาคสอง ภายใต้ชื่อ The Valley Recalls ในปี 2000 โดยมีเจยันติ
ชาห์ (Jayanti Shah) มาทำหน้าที่เล่นสไลด์กีตาร์แทนบริจ
ภูชาน คาบรา แต่ไฮไลท์จะเน้นอยู่ที่เสียงบานซูรีและสันตูร์ คุณภาพดนตรียังคับแก้วเหมือนเดิมครับ
ใครที่ฟังภาคหนึ่งแล้วยังไม่หนำใจ..... ต่อภาคสองได้เลยครับ
(แถมยังได้ดูการแสดงอีกด้วยครับ)
(ตีพิมพ์ครั้งแรกใน
นิตยสาร Phuket Bulletin ฉบับที่ 125 ตุลาคม
2012)