“ตั้งแต่ต่อนี้ไป เราก็ไม่มีใครอีกแล้ว ที่จะเป็นตัววัดให้กับนักร้อง”
เป็นคำกล่าวไว้อาลัยของบิล คอสบี (Bill Cosby) ดาวตลกรุ่นใหญ่ผู้หลงใหลในสำเนียงแจ๊ส ต่อการจากไปของ Sarah Vaughan สุดยอดนักร้องแจ๊ส ด้วยโรคมะเร็ง เมื่อวันที่ 3 เมษายน 1990 ที่ลอส เอนเจลิส คำกล่าวนี้คงจะเป็นจริงไปอีกนานแสนนาน ณ วันนี้ เกือบ 16 ปีผ่านไป เรายังมองไม่เห็นเลยว่าใครจะมาแทนเธอได้
Sarah Vaughan ได้รับการยกย่องว่า
เป็นนักร้องมหัศจรรย์
เธอมีมิติแห่งเสียงของนักร้องโอเปร่า ด้วยช่วงกว้างมากล้นในแต่ละระดับเสียง
ซึ่งมีเอกลักษณ์แตกต่างกัน
เสียงช่วงกลางมีความเต็มอิ่มเอิบ
และสดใสเหมือนเสียงเด็กผู้หญิงยามที่พลิ้วขึ้นสูง แต่เวลาที่ไล่ลงต่ำ
กลับใหญ่ทุ้มลึกหนักแน่น เธอใช้เสียงดั่งเครื่องเป่า
มีเชิงด้นเยี่ยมยอด ด้วยเทคนิคอันน่าตะลึง ดุจเดียวกับที่อาร์ต เททัม (Art
Tatum) เชี่ยวในเชิงเปียโนระดับเทพ ทั้งสองมีหลายอย่างคล้ายคลึงกัน
มีความเก่งรอบตัวเหมือนกันทั้งคู่ จนยากที่จะแยกแยะว่า
ควรจัดให้เข้าอยู่ในหมวดดนตรีสายใด
ถ้าซาราห์ไปเอาดีทางแนวคลาสสิก เธอก็ไม่พ้นที่จะเป็นดิวา (Diva)พระแม่เจ้าแห่งโอเปร่า ฉายา ดิไวน์ วัน (Divine One) ที่เปรียบเธอดุจดังเทพี ไม่ใช่คำสรรเสริญที่เกินความจริงเลย แต่สำหรับแฟนเพลง “Sassy”
เป็นชื่อเล่นที่เรียกขานแล้วให้ความเป็นกันเองยิ่งกว่าชื่อใด
ชีวิตของซาราห์ วอห์น เริ่มต้นที่เมือง Newark (อ่านว่า หนวค) รัฐนิวเจอร์ซี
เมื่อ 27 มีนาคม 1924 ดูเหมือนกับว่า เธอเลือกเกิดเองได้ ที่มีแม่เป็นนักร้องประจำโบสถ์
พ่อมีอาชีพเป็นช่างไม้ แต่ชอบดีดกีตาร์ร้องเพลง
ซาราห์ตามแม่ไปร้องเพลงที่โบสถ์ตั้งแต่เล็ก เธอเป็นความหวังของแม่
ที่ใฝ่ฝันว่า สักวันหนึ่งลูกสาวคนนี้ที่ตั้งใจเรียนเปียโนมาเกือบ 10 ปีแล้ว จะมีอนาคตเป็นนักเปียโนคอนเสิร์ต ไม่เคยคิดเลยว่า
กลับเป็นเสียงร้องของเธอที่นำเธอก้าวขึ้นสู่เวทีของคาร์เนกี ฮอลอันศักดิ์สิทธิ์
ครั้นเป็นสาว 18 วอห์นก็เข้าร่วมประกวดนักร้องสมัครเล่น ชิงเงินรางวัล 10 เหรียญและสัญญาร้องเพลงเป็นเวลา 1 อาทิตย์ที่อพอลโล
เธียเตอร์(Apollo Theatre) อันโด่งดังในฮาร์เล็ม วอห์นชนะใจกรรมการผู้ตัดสินด้วยเพลง Body
and Soul ที่เธอทุ่มเทใจร้อง แววของเธอแตะเข้าตา บิลลี่ เอคสไตน์ (Billy
Eckstine) นักร้องวงเอิร์ล ไฮน์ (Earl Hines)
เขารีบเสนอเจ้านายให้จ้างเธอเป็นนักร้องและนักเปียโนตัวสำรองประจำวงทันที วอห์นจดจำสำนึกบุญคุณครั้งนั้นของเอคสไตน์อย่างไม่เคยลืมเลือน
เอลลา ฟิทซ์เจอรัลด์ (Ella Fitzgerald) ดาวนักร้องประจำของอพอลโล เธียเตอร์ อาทิตย์ที่ซาราห์เข้าไปฝึกงาน
รู้สึกต้องชะตากับนักร้องสาวรุ่นน้องคนนี้มาก ถึงกับปวารณาตนเป็นพี่เลี้ยง
ช่วยปกป้องดูแล และแนะสอนให้วอห์นได้รู้เท่าทัน
ถึงเล่ห์เหลี่ยมกลโกงสารพัดของพวกเหลือบในวงการบันเทิง
ช่วยให้เธอหลบหลีกเอาตัวรอดไปได้ ในช่วงที่ยังไม่ดัง
ซึ่งต้องดิ้นรนตะลอนร้องไปทั่ว
ปี 1944 วอห์นตบเท้าตามดิซซี่ กิเลสปี(Dizzy Gillespie)
และชาร์ลี พาร์เกอร์ (Charlie Parker) สองนักดนตรีที่กำลังจะใหญ่มาก ออกไปอยู่กับวงใหม่ของเอคสไตน์
ที่เปิดประตูรับบีบ็อป ดนตรีต้องห้ามของยุคนั้น
เธอเกาะกลุ่มอยู่กับพวกหัวใหม่
แทบจะเป็นนักร้องคนเดียวของสมัยนั้นที่เข้าถึงบีบ็อป
คนในวงการเริ่มซุบซิบกันถึงเด็กสาวเสียงดีคนนี้หนาหูขึ้นทุกวัน เลเนิร์ด เฟเธอร์ (Leonard Feather) นักวิจารณ์แจ๊สชื่อดังพาเธอเข้าห้องอัดเสียงเป็นครั้งแรกในปีนี้เอง เขาเปรียบเปรยเธอว่า
“เป็นนักร้องที่มีความสดของเอลลา
ใจของอเรธ่า (แฟรงคลิน) มีความอบอุ่นแบบเพ็กกี้
(ลี) และลีลาเอื้อนเสียงที่แน่นอนของคาร์เมน
(เม็คเร)”
หลังจากที่บิลลี่ เอคสไตน์ล้มวงในปี 1945 วอห์นก็ออกฉายเดี่ยวตั้งแต่นั้นมา
เธอแต่งงานกับนักทรัมเป็ตจอร์จ เทรดเวล (George Treadwell) สามีคนแรก ในปี 1947 และเขาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการไปในตัว
ซาราห์สั่งสมชื่อเสียงบารมีที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย เธอพัฒนาและขัดเกลาเสียงร้องธรรมชาติที่พระเจ้าประทานมาให้มากล้นกว่าใครอยู่แล้ว
ให้สมบูรณ์เพียบพร้อมไร้จุดอ่อนยิ่งขึ้น
จนถึงขั้นที่สามารถสั่งบังคับได้ดังใจนึก
ด้วยหูและประสาทการรับฟังที่ไม่ผิดเพี้ยน ทำให้เธอไม่มีปัญหาเรื่องคู่เสียงยาก
อันเป็นความหนักใจของนักร้องคนอื่นเลย ทุกอย่างที่เธอทำนั้นดูง่ายไปหมด วอห์นชอบสร้างความประหลาดใจให้คนฟัง ด้วยการพลิ้วทะลวงผ่านคู่เสียงล่อแหลม
ก่อนที่จะร่อนลงสู่โน้ตเป้าหมายได้อย่างนิ่มนวลสวยงาม หลอดเสียงของเธอ คือ
อุปกรณ์เฉกเช่นเครื่องดนตรีของยอดศิลปินที่ใช้บรรเลง วอห์นเป็นเป็นศิลปินผู้รู้ถ่องแท้ถึงโครงสร้างและกระแสไหลแห่งดนตรี เธอไม่ปล่อยไม้เด็ดออกมาอย่างพร่ำเพรื่อ
เพื่อโอ้อวดลูกเล่นอย่างไร้จุดหมาย
ความเป็นดนตรี คือ สิ่งสำคัญที่สุด ที่เธอต้องการถ่ายทอดออกมาสื่อกับผู้ฟัง
ในปี 1950 ในช่วงวัยสาวเต็มตัว ศักยภาพในตัวเต็มเปี่ยม เธอบันทึกเสียงให้โคลัมเบีย
โดยมีไมล์ เดวิสมาร่วมช่วยงานด้วย ซาราห์ วอห์น
แสดงให้เห็นถึงจินตนาการอันบรรเจิดของเธอ
ที่ก้าวขึ้นเทียบได้กับนักดนตรีแจ๊สระดับแนวหน้า
ด้วยการรังสรรค์ทำนองขึ้นมาใหม่อย่างที่พวกยอดนักดนตรีปฏิบัติกัน ในเพลง “Mean To Me” เธอได้บรรลุถึงจุดที่ดูเหมือนว่ายังไม่มีนักร้องแจ๊สคนไหนก้าวไปถึงมาก่อน
และยิ่งค้นพบศักยภาพแห่งธรรมชาติเสียงร้องอันไร้ขีดจำกัดของตัวเอง
เมื่อเธอยิ่งเจาะลึกเข้าไป จนดูราวกับว่า
ไม่มีบทขับร้องใดที่จะเกินกำลังความสามารถของวอห์นไปได้เลย มาสเตอร์พีซ
เพลงนี้บรรจุรวมอยู่ในชุด “Sarah Vaughan in Hi-Fi” (1997- Columbia65117) ร่วมกับผลงานคลาสสิกอย่าง "Ain't Misbehavin'",
"Nice Work If You Can Get It", "The Nearness of You" และ “Pinky” บทเพลงไร้เนื้อร้อง
ที่เธอครวญออกมาอย่างน่ามหัศจรรย์ในความลื่นไหลของน้ำเสียง Sarah
Vaughan with Clifford Brown (Verve) ในปี 1954 เป็นอัลบั้มที่ได้รับการยกย่องว่า
เป็นการร่วมงานของนักดนตรีแจ๊สและนักร้องที่ลงตัวสวยงามที่สุดชุดหนึ่ง โดดเด่นด้วยเพลง
Lullaby of Birdland, April in Paris และ Embraceable You
นอกจากสองชุดนี้
วอห์นยังสร้างผลงานล้ำค่าออกมาประดับโลกดนตรีอีกหลายชุดด้วยกันในช่วงทศวรรษ 50 ก่อนที่ชีวิตจะหักเหเปลี่ยนเส้นทางเดินไประยะหนึ่ง
ด้วยหลังจากที่ใครๆพากันติดใจ เพลง “Broken Hearted Melody” ที่เธอขับร้องในปี
1959 ทำให้ซาราห์
วอห์นไม่ใช่สมบัติเฉพาะของชนกลุ่มน้อยอย่างแจ๊สอีกต่อไปแล้ว
มีผู้คนรู้จักเธอไปทั่วทุกแห่ง เงื่อนไขการนำเสนอผลงานของเธอก็ต้องเปลี่ยนไป
เมื่อนายทุนยื่นมือเข้ามาควบคุมการผลิต
ด้วยจุดประสงค์ที่จะสนองคนกลุ่มใหญ่เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า ซึ่งในส่วนแบ่งที่เธอได้รับก็เป็นบำเหน็จก้อนโต
เกินกว่าที่จะปฏิเสธบอกปัดไปได้
แม้ว่าเธอจะแบ่งใจไว้ครึ่งหนึ่งสำหรับแจ๊สเพื่อความสะใจของตัวเอง
ชีวิตก็ยังไม่สมดุลลงตัว ในที่สุด
ต้องหาทางออกด้วยการปลีกตัวหายไปจากวงการบันเทิง ตอนปลายทศวรรษ 60 นานถึง 5 ปี
วอห์นหวนกลับมาจับไมค์ให้ไฟส่องหน้าอีก ในปี 1971 ด้วยใจที่หนักแน่นมั่นคงในจุดยืนของตัวเอง
และน้ำเสียงที่ยังสะกดคนฟังให้อยู่ภายใต้มนต์เพลงของเธอ คาร์เนกี ฮอลไม่เคยมีที่ว่าง
ไม่ว่าครั้งไหนที่ซาราห์ วอห์นปรากฏตัวบนเวที
คนดูคือน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตของเธอที่มีความหมายมากยิ่ง
“สำหรับดิฉันแล้ว คนดูผู้ชื่นชมเป็นเกียรติอันสูงสุดที่ได้รับ ความใส่ใจของคนดูที่มีต่อดิฉัน
เป็นความซึ้งใจที่ไม่มีอะไรเปรียบได้
ที่ดิฉันมีวันนี้ และยังจะไปต่อไป ก็เพราะแรงสนองตอบจากพวกเขา”
และคำยกย่องสดุดีจากเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกัน
ก็เป็นสิ่งที่ศิลปินทุกคนปราถนาจะได้รับเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะจากปากของระดับบิ๊กอย่าง แฟรงค์ สิเนตรา (Frank Sinatra)
“แซสซี่ร้องดีเหลือเกิน ผมอยากเชือดนิ่มๆ ตรงข้อมือ ด้วยมีดทื่อ ให้เธอร้องเพลงให้ฟังจนตาย”
มิเชลล์ เลอกรองด์ (Michel
Legrand) ยอดนักแต่งเพลงหวานชาวฝรั่งเศส ผู้คลั่งไคล้แจ๊ส
เป็นปลื้มที่เธอร้องเพลงที่เขาแต่ง
“ที่สุดของคนแจ๊สที่ผมเคยเจอ
ผมส่งเพลงให้เธอเพลงเดียว แม่คุณเนรมิตออกมาให้ฟังกันเป็นสิบ”
ครับ! วอห์นมีความสามารถพิเศษเฉพาะตัวที่หาได้ยากในหมู่นักร้องด้วยกัน เธอจะเจาะลึกเข้าไปถึงแก่นเพลง
ดึงจุดเด่นในเพลงออกมานำเสนอได้มากมายเกินกว่าที่คนแต่งจะคิดฝัน
วันที่ 24 กันยายน 1973 ซาราห์ วอห์น
บินไปเปิดแสดงคอนเสิร์ตที่กรุงโตเกียว ร่วมกับวงทริโอของเธอ Carl Schroeder (เปียโน),
John Gianelli (เบส) และ Jimmy Cobb(กลอง) นับเป็นความโชคดีอย่างยิ่งของคนญี่ปุ่นที่ได้ดูการแสดงสดในคืนนั้น
และแฟนแจ๊สทั้งโลกก็พลอยได้อานิสงส์จากการบันทึกเทปของอัลบั้ม Complete:
Live in Japan (Mobile Fidelity) วอห์นทุ่มเทเต็มที่กับการร้องครั้งนั้น เป็นผลงานสุดยอดชิ้นหนึ่งของเธอ
ฟังครั้งไหนก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศความเป็นกันเอง และมีอารมณ์คล้อยตามไปด้วย ภายหลังจากที่ผมได้ดูเธอที่นิวพอร์ต ปี 1982
ก็ยิ่งชื่นชมในความเชี่ยวชาญการใช้อุปกรณ์เสริม คือ ไมโครโฟน
ของวอห์น เวลาที่มาฟัง My Funny
Valentine ซึ่งถ่ายทอดอารมณ์เพลงออกมาหลายระดับความดัง
ทำให้จินตนาการถึงการขยับเคลื่อนไหวไมค์ ให้รับเสียงออกมาสมดุลสม่ำเสมอโดยตลอด
เป็นความสามารถเฉพาะตัวที่หาตัวจับยาก และยิ่งยากไปกว่านั้น คือ
เนื้อร้องแต่ละคำของเธอ สื่อความหมายออกมาจนเห็นภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพามิวสิกวิดีโอ แต่กลับให้จินตภาพลึกล้ำกว่า
เสียงทิพย์ของเธอแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูในบริเวณป้อมปราการฟอร์ต
อดัม กลมกลืนไปกับสายลมทะเลผ่านแผงกำแพงลำโพง เข้ามากระทบต่อมรับรู้เสียง
กระตุ้นให้ขนลุกซู่ จนผิวหนังขึ้นตุ่มเหมือนผิวลูกมะกรูด เป็นระยะๆอย่างต่อเนื่อง
เธอนำพาคนฟังไปสู่อีกมิติหนึ่งแห่งความรื่นรมย์หรรษาเหนือคำบรรยาย ไม่เคยนึกว่า Misty และ Send
In The Clowns เพลงเก่งประจำตัวของเธอ
จะร้องได้ไพเราะกว่าที่เคยได้ฟังจากแผ่นเสียงอย่างเทียบไม่ได้เลย ผมรู้สึกขอบคุณในความโชคดีของตัวเอง ที่ได้สัมผัสตัวจริงเสียงจริงของนักร้องแห่งศตวรรษ
ที่นักเขียนแจ๊สชื่อดัง Gary Giddins เขียนสรรเสริญไว้ว่า
เป็นเสียงร้องที่มีมาเพียงแค่ครั้งเดียวในชั่วชีวิต
หรืออาจจะครั้งเดียวในหลายชั่วอายุคนก็เป็นได้
ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 70
วอห์นมีสัญญาอยู่กับบริษัท Pablo
ที่ไม่เข้ามาก้าวก่ายกับการทำงานของศิลปินในสังกัด
ทำให้เราได้ฟังสิ่งที่เธอต้องการทำ
ไม่ต้องจำใจร้องเหมือนสมัยที่โดนนายทุนบัญชาการ
อัลบั้มคุณภาพหลายชุดทยอยกันออกมาในช่วงนี้ “How Long Has This Been Going On?” (1978
– Pablo)นับเป็นเพชรน้ำเอกที่เจิดจ้าจรัสแสงที่สุด
ซาราห์ใช้เวลาทำงานอยู่ในห้องอัดเสียงเพียงวันเดียว เธอได้มือดีที่รู้ทางกันอย่าง Oscar
Peterson (เปียโน), Joe Pass (กีตาร์),
Ray Brown (เบส) และLouie Bellson (กลอง) มาช่วยสนับสนุนเสียงร้อง นอกเหนือจากการเล่นกันในแบบวงแล้ว
วอห์นยังทำเก๋ด้วยการร้องแบบตัวต่อตัวกับสมาชิกในวง คนละเพลงอีกด้วย เธอเป็นโปรดิวเซอร์ดูแลการผลิตครั้งแรกและครั้งเดียวในอัลบั้ม
Crazy and Mixed Up (1982 – Pablo) วอห์นใช้เสียงร้องแทนเครื่องดนตรีด้นไปตลอดเพลงโดยไม่อิงถึงทำนองหลักเลยใน
Autumn Leaves และเลือกเอาเพลงหวานจากบราซิล Love Dance กับ The Island ผลงานของ Ivan Lins มาเป็นเครื่องเคียงให้กับเพลงสแตนดาร์ด
วอห์นได้รับรางวัลแกรมมี่จากอัลบั้ม "Gershwin Live"! ในปี 1982 เธอยังคงร้องเพลงอย่างต่อเนื่อง
แม้จะมีปัญหาในเรื่องสุขภาพมารบกวน แต่คุณภาพเสียงยังคงที่ ไม่มีตก “Brazilian
Romance” (1987 - CBS)
เป็นงานยุคปลายของวอห์น ชุดนี้แนวดนตรีค่อนข้างร่วมสมัย ฟังสบายๆ เหมาะสำหรับเป็นอัลบั้มแนะนำตัว
ให้คนหนุ่มสาวยุคใหม่ได้สัมผัสกับซาราห์ วอห์นเป็นครั้งแรก
และหลังจากที่ได้ฟังเธอแล้ว
นักร้องคนอื่นจะดูเหมือนเป็นพวกสมัครเล่นไปหมด!
(ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร JazzSeen Vol. 2 issue 7 February 2006)