Thursday, January 13, 2011
Berklee: Ear Training 1
ขอวกกลับไปเรื่อง Aural Training สักหน่อย เพราะมีคนโทรไปถามกันมาก แล้วผมจะย้อนกลับมาเขียนเรื่องเพลงสแตนดาร์ดต่อ หรืออาจจะสลับกันไปตามความเหมาะสม
หลังจากเริ่มต้นด้วยการท่องเพลงกันมาหลายเดือน จำเพลงจนขึ้นใจทั้งเพลงนับสิบเพลง เราก็มาถึงระดับขั้นต่อไปของการฝึก Aural Training ที่ผ่านมาเราฝึกกันแบบคนไม่รู้โน้ตเลย ใช้หูรับฟังและจดจำเสียงที่เราได้ยิน แล้วถ่ายทอดโดยการร้องออกมาไม่ให้ผิดเพี้ยนจากที่ได้ยิน แต่ในขั้นตอนต่อจากนั้น ก็จะเริ่มมีเรื่องของทฤษฏีดนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว
คนที่มาเรียนเรื่อง Aural Training โดยปกติแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่อยู่ในระดับกลางขึ้นไป คือ มีความรู้ทางทฤษฎีดนตรีพอสมควรแล้ว ในขณะที่ผมกำลังจะแนะนำถึงการฝึกขั้นต่อไป และจั่วหัวตั้งชื่อเรื่องไว้เรียบร้อยแล้ว ก็มานึกขึ้นได้ว่า แล้วเขาจะรู้เรื่องกันทุกคนหรือ?
ครับ, ผมนึกถึงคนอ่านโน้ตไม่ออกก่อนใครเพื่อน พวกรู้แล้ว ให้รอไปอีกหน่อย คิดว่าเป็นการทวนของเก่าก็แล้วกัน บางทีอาจจะเป็นการเรียนซ้ำในเนื้อหาเดิม แต่ด้วยมุมมองแตกต่างออกไป ก็ทำให้เกิดปัญญาเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งก็มีตัวอย่างของจริงมาเล่าให้ฟัง
ในชั่วโมงแรกของทุกคนที่มาเรียนกับผม จะเริ่มต้นจากบทที่หนึ่ง เรื่องเมเจอร์สเกลเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะมีพื้นฐานเดิมมาระดับไหน เป็นการปรับให้ตัวผู้เรียนเข้ากับระบบหลักสูตร ทบทวนและทดสอบไปในตัวสำหรับผู้ที่อ้างว่ามีพื้นมาแล้ว จะไล่ไปเรื่อยๆ จนสะดุดในหัวข้ออะไร ก็จะหยุดเน้นสอนหรือซ่อมในจุดนั้น แล้วไปต่อ จนถึงจุดสุดภูมิปัญญาของเขา ซึ่งโดยทั่วไปก็ประมาณ 3 – 4 บท
เท่าที่ผ่านมาผมยังไม่เคยเจอคนไหน ที่ผ่านบทที่ 1 โดยไม่สะดุดเลย แม้แต่ 1 คน เคยมีนักดนตรีเล่นอาชีพมานานเป็น 10 ปี เขาบอกว่าเคยเรียนอเรนจิ้งคอร์สจากสถาบันดังมาแล้ว แต่หลังจากได้เรียนชั่วโมงแรกผ่านไป เขาสารภาพว่า รู้สึกโล่ง เห็นความสว่าง ได้คำตอบไขข้องใจที่มืดมนมานานหลายปี
หลักสูตรทฤษฏีดนตรีของอาจารย์เฒ่า ที่แพร่หลายอยู่ใต้ดินมานาน กำลังจะโผล่ขึ้นมาให้สาธารณะชนได้รับรู้กันอย่างเป็นทางการเสียที ในเวอร์ชันที่อัพเดทปรับปรุงใหม่ และดีกว่าเดิม
คนที่เริ่มต้นวันนี้ มีโอกาสที่จะเรียนให้ทันคนที่รู้โน้ตอยู่แล้วได้ อย่างที่เขาว่า ความรู้เรียนทันกันหมด และอาจจะแซงหน้าเลยไปด้วยซ้ำ ถึงคิวของคนไม่รู้โน้ต ต้องมาเรียนโน้ตกันแล้ว จะหลีกเลี่ยงไม่เอาอีกต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ถ้าต้องการรู้ให้ลึกซึ้งและลึกล้ำกว่าที่เป็นอยู่นี้ ซึ่งก็ไม่ได้ใช้เวลามากไปกว่าที่มัวไปโง่อยู่เสียนาน
มีคนอ่านคอลัมน์นี้โทรไปหาผม ขอคำปรึกษา แนะนำ เรื่องวิธีการฝึก การเรียน มีหลายคนที่ไม่มีความรู้ทางทฤษฏีดนตรีเลย บางคนก็รู้แบบงูๆปลาๆ บางคนเป็นนักดนตรีที่เล่นมานานแล้ว แต่ก็ยังวนอยู่ในอ่าง ถึงทางตัน เพราะเขาเล่นกอปปี้จากต้นแบบ(เทป, ซีดี, วิดีโอ) คิดสร้างเองไม่เป็น ผมก็ได้แนะนำให้ไปหัดอ่านโน้ตให้ออก เป็นขั้นตอนแรก โดยให้ข้อเปรียบเทียบไปว่า มันก็เหมือนกับความรู้ทั่วไปนั่นแหละ ถ้าเราอ่านหนังสือไม่ออก เราจะไปค้นหาเรียนรู้อะไรมันก็ยากกว่าคนที่รู้หนังสือ ถ้าเราอ่านโน้ตได้ เราก็จะมีแหล่งความรู้ให้ค้นคว้ามากมาย เกิดมาอีกสิบชาติก็ยังมีอะไรให้เรียนได้ไม่รู้จบ
ปัญหาหนักหนาอย่างหนึ่งสำหรับคนที่เล่นดนตรีเป็นแล้ว ต้องย้อนกลับมาเริ่มต้นหัดอ่านโน้ตใหม่ อย่างเช่น เราเล่นกีตาร์ได้คล่องแล้ว ต้องกลับมานั่งดีดโน้ตทีละตัว เคาะนับจังหวะ เหมือนเด็กหัดใหม่ มันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย ซึ่งตัวผมเองก็เจอมาแล้ว เป็นสิ่งที่หนักหนาสาหัสเอาเรื่อง แต่ก็ต้องกัดฟันสู้ เพราะเราต้องการพัฒนายกระดับตัวเอง
วิธีแก้ปัญหาให้การหัดอ่านโน้ตเป็นเรื่องไม่น่าเบื่อ ท้าทายและได้ทักษะทางดนตรีเพิ่มเติมอีกด้วย แทนที่จะไปหาตำราฝึกหัดกีตาร์เบื้องต้นมาให้นักกีตาร์ ผมได้แนะนำ(ยัดเยียด, กำหนด)ทางเลือก ให้คนที่มาเรียนส่วนตัวกับผม ให้ลองเรียนวิชา Ear Training ตามแบบหลักสูตรของ Berklee College Of Music ที่ผมเคยเรียนมาแล้วและได้ใช้สอนอยู่ด้วย ซึ่งใช้หลักการของระบบ Sol-Fege สำหรับร้อง Sight Singing แต่ได้ดัดแปลงแบบฝึกหัดให้สอดคล้องไปกับแนวดนตรีร่วมสมัย
ประโยชน์ที่ได้จากการเรียนวิชานี้ คือ
1. เราจะได้เรียนรู้การอ่านโน้ต 2 กุญแจ คือ Treble Clef(G Clef) และ Bass Clef(F Clef) ในระบบ Moveable Doh
2. เพ็ทเทิร์นสำหรับ Conducting ในบทเพลงอัตราจังหวะ 4/4 และ 3/4
3. ทักษะในทางปฏิบัติอัตราโน้ตพื้นฐานทั่วไปในเพลง Pop
4. สามารถร้องหรือฮัมทำนองเพลงจากหนังสือโน้ตเพลง ในคีย์เมเจอร์ ได้ถึง 5 คีย์ ( C, F, Bb, G และ D) โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องดนตรีช่วย
5. สามารถบันทึกเพลงง่ายๆ ที่ได้ฟังจากเทป เป็นตัวโน้ตได้
6. เรียนรู้ถึงโครงสร้าง รูปแบบฟอร์มเพลงทั่วไป
นั่นคือ ความรู้ที่จะได้หลังจากเรียนจบ Ear Training 1 คอร์สสำหรับ 16 สัปดาห์ ซึ่งปกติจะใช้เวลาเรียนกันประมาณ 2 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับความเอาใจใส่ของผู้เรียน ซึ่งจะเห็นว่าการเรียนคอร์สนี้ มีประโยชน์สำหรับผู้เรียนมาก เป็นการปูพื้นฐานความรู้เบื้องต้นทางดนตรี เพื่อที่จะศึกษาต่อในระดับสูงขึ้นไป หรือใช้สำหรับหัดเล่นเครื่องดนตรี หรือขับร้องเพลงก็ได้ ผมมีลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นนักร้องอาชีพ แต่ไม่มีความรู้ทางทฤษฎีดนตรีเลย หลังที่ได้เรียน Ear Training 1 ประมาณ 2 เดือน ก็พออ่านโน้ต ร้องออกมาเป็นทำนองและเขียนโน้ตได้บ้าง และเริ่มแต่งเพลงง่ายๆได้ โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องดนตรีช่วย หลังจากนั้น เมื่ออยากจะหัดเล่นกีตาร์ ก็เล่นได้ฉลุย มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อเรามีความรู้เรื่องโน้ต เข้าใจเรื่องอัตราส่วนจังหวะแล้ว ก็จะมีเรื่องต้องพะวงเพียงแค่ ทำความคุ้นเคยกับเครื่องดนตรีเพียงอย่างเดียว แทนที่จะต้องเผชิญปัญหา ตั้งแต่ตาดูโน้ต ว่าเป็นตัวอะไร? มีกี่จังหวะ? แล้วนิ้วมือซ้ายมันต้องกดช่องไหน? นิ้วมือขวาหรือปิ๊กจะต้องดีดสายอะไร? หรือถ้าจะไปหัดเล่นเปียโนหรือคีย์บอร์ด ก็ได้ประโยชน์จากการอ่านโน้ตได้ทั้งสองกุญแจแล้ว จะไปเรียนทางทฤษฏี, ฮาร์โมนี หรืออเรนจิ้ง ก็ได้เปรียบกว่าคนที่ไม่เคยผ่าน Ear Training
ในส่วนเพิ่มเติม ผมขอแนะนำให้ไปค้นคอลัมน์ย้อนหลังของอาจารย์ปู่ เกี่ยวกับเรื่อง Ear Training ลองศึกษาดู ท่านสอนไว้ดีมาก ถ้าจะให้ดีกว่านั้น ก็ต้องไปสมัครเรียนโดยตรงกับตัวอาจารย์ปู่
ในความเห็นของผม การเรียน Ear Training ด้วยตัวเองนั้น เป็นเรื่องยากมาก มีโอกาสหลงทางสูงมาก ถ้าทำผิดๆไปแล้ว จะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี การฝึกด้วยตัวเองโดยไม่มีคนช่วยแนะนำ ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้ายเลย ขนาดสอนกับตัวต่อตัว ยังต้องแก้ไขกันตลอดเวลา เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก หลุดไปนิดเดียว ก็มีสิทธิเข้ารกเข้าพง เข้าป่าหายสาบสูญ สุดที่จะกู่ให้กลับมาได้
ดีที่สุด ก็คือ เรียนโดยตรงกับครูที่รู้จริง
(ตีพิมพ์ครั้งแรกใน นิตยสาร Overdrive ฉบับที่ 91 กุมภาพันธ์ 2006)
Labels:
Ear Training
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
สุดยอดจริงๆ
ReplyDeleteสมกับเป็นมณีรัตน์แห่งยุค : D
เดี๋ยวนี้ที่ Berklee หนังสือ Ear Training เขาทำใหม่แบ่งแต่ละ Chapter เป็น Rhythm, Melody แล้วก็ Harmony มี Sol-fa exercise ด้วยครับ.. ผมว่าเล่มเก่าของอาจารย์เนี่ยยากกว่าเยอะเลยครับ.. แต่ผมเรียน Ear Training ครบ 4 ตัวที่ Berklee ผมว่าสู้มาเรียนกับ Ran กับ Charlie ตอนหลังไม่ได้เลยครับ ของ Ran กับ Charlie ถึงจะไม่ค่อยเหมือนกัน แต่เวิร์คมากเลยครับ...
ReplyDeleteขอบคุณมากครับสำหรับอัพเดท จุดประสงค์หลัก คือ ให้คนเล่นดนตรีได้แล้ว แต่อ่านโน้ตไม่ออก มาหัดอ่านโน้ต แบบไม่น่าเบื่อ ฝืนตัวเอง แล้วได้ประโยชน์อย่างอื่นด้วย
ReplyDeleteมีอะไรที่เป็นประโยชน์ ช่วยส่งมาอีกนะครับ......
ขอบคุณครับ jazz แท้ๆเป็นแบบนี้นี่เอง
ReplyDelete